ตำนานพระธาตุพนม

พระธาตุพนมเป็นสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ตั้งอยู่  ณ  วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร  ซึ่งจากตำนานอุรังคธาตุกล่าวไว้ว่า  มีการนำเอาพระอุรังคธาตุ (พระธาตุหัวอก) ของพระพุทธเจ้า  มาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า  โดยได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในองค์พระธาตุพนม  ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการก่อสร้างแบบเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม  สูง  53.60  เมตร  แลดูสง่างาม  และได้มีการบูรณะเรื่อยมาจนครั้งสุดท้ายสำเร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่  21  มีนาคม  2522
จากอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์และตำนานโบราณต่างแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญทางศาสนาของดินแดนแห่งนี้  แม้ตะไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันถึงความรุ่งโรจน์อันยาวนานที่แท้จริงได้  ปัจจุบันองค์พระธาตุพนมนี้  นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะ  และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธสาสนิกชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ  ตลอดมา
 
รำตำนานพระธาตุพนม
เป็นการรำบูชาพระธาตุพนมที่ปรับปรุงมาจากการฟ้อนรำแห่กองบุญ  ในเทศกาลนมัสการองค์พระธาตุพนม  ได้นำเอาบทสวดสดุดีองค์พระธาตุพนม  ทำนองสรภัญญะ  มาประกอบกับวงดนตรีมโหรี ซึ่งกล่าวถึงตำนานและความพิสดารขององค์พระธาตุพนม
การรำชุดนี้แสดงครั้งแรกในงานสมโภชพระธาตุองค์ใหม่  เมื่อ  พ.ศ.  2522 ถือเป็นเอกลักษณ์ใช้รำเปิดงานนมัสการองค์พระธาตุพนมทุกครั้งต่อมาจนถึงปัจจุบัน  และได้นำมารำบูชาถวายพระธาตุพนมประจำปีในเทศกาลไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนมตั้งแต่  พ.ศ.  2530  เป็นต้นมา

รำศรีโคตบูรณ์
นครพนม  คือ  อาณาจักรศรีโคตบูรณ์ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากในอดีตกาล  รำชุดนี้เป็นรำประจำจังหวัดนครพนม  จึง
ได้ชื่อว่า  “รำศรีโคตบูรณ์” เพื่อกระตุ้นให้ระลึกถึงความเจริญทางด้านศิลปะวัฒนธรรมของศรีโคตบูรณ์ในสมัยก่อนสำหรับท่ารำผสมผสานระหว่างรำเซิ้งกับรำภูไท  บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ท่ารำของชาวอีสาน  คือ  ยกสูง  ก้มต่ำ  รำกว้าง  มีความกลม กลืนระหว่างท่ารำกับดนตรีพื้นเมืองอีสานอย่างสมบูรณ์ยิ่ง

รำไทญ้อ
“ไทญ้อ” เป็นชนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในเขตอำเภอท่าอุเทน  นาหว้า  และโพนสวรรค์  โดยปกติการรำไทญ้อจะ
บในเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายน  และเทศกาลที่สำคัญ ๆ เท่านั้น
ในเทศกาลสงกรานต์   ชาวไทญ้อจะมีการสรงน้ำพระในตอนกลางวัน  โดยมีการตั้งขบวนแห่จากคุ้มเหนือไปยังคุ้มใต้ลง
มาตามลำดับ  ในวันขึ้นตั้งแต่  1  ค่ำเป็นต้นไป  จนถึงวันเพ็ญ  15  ค่ำเดือน 5 ส่วนในตอนกลางคืนหนุ่มสาวชาวบ้านจะจัด
ขบวนแห้นำต้นดอกจำปา (ลั่นทม) ไปบูชาวัดที่ผ่านไปเริ่มจากวัดใต้สุดขึ้นไปตามลำดับจนถึงวัดเหนือสุดซึ่งจะเป็นคืนสุดท้าย
เสร็จพิธีแห่ดอกไม้บูชาองค์พระธาตุ  จะเป็นช่วงแห่งการเกี่ยวพาราสี  การหยอกล้ออย่างสนุกสนานของบรรดาหนุ่มสาวชาวไทญ้อ  ดังปรากฏในท่ารำ

 
รำผู้ไท
คำว่า “ผู้ไท” เป็นชื่อของชนเผ่าหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ไท  ซึ่งอยู่ในเมืองวังเขต  ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ปัจจุบันได้ตั้งถิ่นฐานอันมั่นคงอยู่หลายแห่งในจังหวัดนครพนม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อำเภอเรณูนคร  และบางตำบลของอำเภอนาแกและอำเภอธาตุพนม
การรำผู้ไทเป็นเครื่องบ่งบอกถึงขนบธรรมเนียมประเพณี  ความเชื่อถือ  และวัฒนธรรมของชนผู้ไท ซึ่งมีมาแต่เดิม  ลักษณะและวัตถุประสงค์แห่งการฟ้อนรำมีอยู่  2  ประการ  คือ  รำบูชาหรือถวายพญาแถน  เพื่อขอให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลและขอความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตขอบตนเองและครอบครัว  ประการที่ 2 รำฉลองสมโภชในงานบุญประเพณีประจำปี  เช่น  งานบุญบั้งไฟและงานบุญมหาชาติ
ลักษณะท่าทาง ลีลาการฟ้อนรำ  ตลอดทั้งเครื่องแต่งตัว  เป็นการบ่งบอกถึงการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาวในงานเทศกาล  นับเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไม่เหมือนที่อื่น

รำหางนกยูง

รำหางนกยูงเกิดมาแล้วเวลา  100 ปีเศษ  ใช้สำหรับรำบวงสรวง  สักการะเจ้าพ่อหลักเมืองอันศักดิ์สิทธิ์  เพื่อประทานพรให้มีชัยชนะ  และความแคล้วคลาดจากภยันตรายในการเข้าชิงชัย  ในการแข่งขันต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขัยเรือยาวในเทศกาลออกพรรษา  โดยปกติการรำชนิดนี้จะแสดงท่ารำบนหัวเรือแข่งและรำถวายหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง  และท่ารำได้ดัดแปลงมาจากการรำไหว้ครูของนักรบก่อนออกชิงชัยในศึกสงครามในสมัยก่อน  โดยรำอาวุธตามที่ตนเองฝึกคือการรำดาบ  รำกระบี่กระบอง  เข้าจังหวะกลอง

ได้มีการดัดแปลงปรับปรุงท่ารำใหม่ ในปี พ.ศ.  2492  ให้ท่ารำมีลีลาอ่อนช้อยเหมือนท่านกยูงรำแพน  ใช้ประกอบกับดนตรีไทยและดนตรีพื้นเมืองได้ตามความเหมาะสม  และได้ถือเป็นท่ารำอันสวยงามที่นำมารำถวายและบูชาองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ทุกปี