สมัยผ่านมาถึงกึ่งพุทธกาล ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2500 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 11 ปีระกา ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีสอง มีฝนตกหนักมากในตัวอำเภอธาตุพนม ตกหนักอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก็ค่อยซาลงแล้วเป็นตกพรำ ๆ น่าแปลกว่าขณะฝนตกหนักนั่นเกิดฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวกระทั่งแผ่นดินสะเทือนอยู่หลายหน
ตอนนั้นนายไกฮวด ชาวบ้านในตลาดธาตุพนมออกมารองน้ำฝนใส่ภาชนะที่หน้าบ้าน ได้เห็นแสงประหลาดขนาดใหญ่เท่าลำตาลมีสีสันต่าง ๆ กันพุ่งแข่งกันมาจากทางทิศเหนือ พอแสงนั้นมาถึงซุ้มประตูวัดพระธาตุก็พากันลอดซุ้มเข้าไป ตรงไปที่องค์พระธาตุพนมแล้วหายเข้าไปทีละดวง ๆ
ขณะนั้นนายไกฮวดยังได้เรียกภรรยาออกมาดูด้วย ก็พากันสงสัยว่าคืออะไรและมาแต่ไหน ทีแรกว่าจะวิ่งไปดูที่ริมโขงเพราะโล่งดีก็กลัวฟ้าคะนอง ได้แต่แอบมองดูเงียบ ๆ พอรุ่งก็เล่าให้ใครต่อใครฟังแต่ไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก
ต่อมาอีกสองวันเรื่องได้ทราบถึงหู พระเทพรัตนโมลี (แก้ว อุทุมมาลา) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ท่านได้ให้ สามเณรทรัพย์ ซึ่งนั่งสมาธิเก่งมากพิจารณาดูเหตุการณ์ในวัด จิตของเณรน้อยหยั่งเข้าไปถึงลานพระธาตุก็พบกับงูใหญ่ 7 ตัว มีเกล็ดขาว หงอนแดงและหางแดง ขนดเรียงกันเป็นแถว
ขณะที่เณรน้อยกำลังงงด้วยไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน งูใหญ่ทั้ง 7 ก็กลายเพศเป็นชายหนุ่ม 7 คนทรงชุดขาวนั่งเรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุชั้นใน สามเณรยิ่งสนเท่ห์ใจหนักเข้า กำลังสับสนอยู่นั่นเองมาณพผู้ดูลักษณะแล้วว่าคงเป็นหัวหน้าก็ถามขึ้นมาว่า
“พ่อเณรมีธุระอะไรอย่ากลัว จงบอกมา”
พ่อเณรของชายหนุ่มลึกลับไม่ได้ตอบอะไรแต่กำหนดจิตหันกลับกุฏิทันที ทันทีนั้นชายผู้เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า “พ่อเณรจะกลับแล้วหรือ ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณร เณรน้อยเล่าภายหลังว่าหมดสติวูบไปทันที
ขณะนั้น ร่างจริงของสามเณรที่ขัดสมาธิภาวนาอยู่เบื้องหน้าท่านเจ้าคุณแก้วและแขกของท่านอีก 4 คนก็ลืมตาขึ้น แล้วยกมือไหว้ท่านเจ้าคุณแก้วพลางว่า
“สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ”
อากัปกิริยาดังกล่าว ท่านเจ้าคุณแก้วย่อมทราบแก่ใจดีว่าสามเณรที่ท่านเลี้ยงมากับมือไม่ทำเช่นนี้แน่ อีกทั้งการพูดการจาก็มิใช่ลักษณะสามเณรทรัพย์คนเก่า ท่านจึงซักไซร้ไต่ถาม เณรน้อยได้ตอบอย่างฉะฉานใช้ศัพท์และถ้อยคำอย่างผู้อาวุโสในโลกมานาน ยังความอัศจรรย์แก่ท่านเจ้าคุณและผู้อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนัก ได้ความว่า…
ท่านทั้ง 7 เป็นพญานาคราช แต่เดิมอาศัยอยู่ในสระอโนดาตบริเวณเทือกเขาหิมาลัย หากองค์อัมรินทราธิราชได้มีบัญชาให้มารักษาองค์พระธาตุพนมแทนเทวดาพวกเก่า เพราะพวกหมู่นั้นชอบแต่กินสินบนเครื่องเซ่นสรวงบูชา แม้ใครไม่ให้หรือหลงลืมก็ลงโทษเขาต่าง ๆ นานา เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระบรมธาตุ
ท่านทั้ง 7 จึงมาตามเทวบัญชาและขับไล่เทวดาพวกเก่าทั้งหมดหนีไปแล้ว ต่อนี้ไปจะรักษาพระธาตุพนมไปจนกว่าจะสิ้นศาสนาของพระสมณโคดมถ้วน 5,000 ปี ท่านทั้งเจ็ดมีนามอันเป็นมงคลตามโพชฌงค์อริยทรัพย์อันประเสริฐดังนี้ พญาสัทโธนาคราชเจ้า มีรัศมีกายสีน้ำเงิน พญาสีลวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเขียวนิล พญาหิริวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเขียวอ่อน พญาโอตตัปปวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเหลือง พญาพาหุสัจจวุฒินาโค มีรัศมีกายสีชมพู พญาจาคะวุฒินาโค มีรัศมีกายสีแสด และ พญาปัญญาเตชะวุฒินาโค มีรัศมีกายสีขาว โดยนาคทั้งเจ็ดนั้นมีพญาสัทโธนาคราชเจ้าผู้เปี่ยมด้วยบุญบารมีและฤทธานุภาพยิ่งกว่าใครในกลุ่มเป็นหัวหน้า
ท่านทั้ง 7 ไม่ประสงค์เครื่องเซ่นแต่อย่างใด หากต้องการติดต่อหรือต้องการบูชาท่านจริง ๆ ให้ใช้แต่น้ำสะอาดถ้วยเดียว หรือถ้าประสงค์ความช่วยเหลือให้ตั้งน้ำ 1 ขันลอยดอกมะลิ จุดธูปขึ้น 7 ดอก ท่านก็จะไปสงเคราะห์ให้ ไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลกก็ไปได้ทั้งนั้น
จากคำบอกเล่าของท่านนับว่าเป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องสำหรับเราผู้คลุกคลีอยู่กับกามโลก คงไม่อาจรู้เห็นได้อย่างท่านผู้ประพฤติธรรม ทราบจากครูบาอาจารย์ทุกองค์เลยว่า เมื่อออกธุดงค์แล้วเป็นต้องได้พบเจอ นาค เสมอไป หลวงปู่ชอบ ฐานสโม บอกว่าที่ไหนมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่นั่นก็มีนาค นาคชอบน้ำมากดังนั้นถ้านาคมาฝนจะตกเป็นสัญลักษณ์ทีเดียว
จากนั้นพญานาคทั้ง 7 ได้ประทับสามเณรถี่ขึ้น ช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์ เช่น สูบนิ่วออกจากท้องคนป่วยด้วยปากเปล่า กลับไปเอ๊กซเรย์ก้อนนิ่วก็หายไปจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเพราะตอนสูบแล้วบ้วนออกมาก็มีก้อนนิ่วในปากพร้อมเลือดจริง ทุกวันนี้ทางวัดยังเก็บโหลใส่ก้อนนิ่วไว้เป็นอนุสรณ์นับสิบโหลรักษาหายได้จริงตามบันทึกวัดนับพัน ๆ ราย
เป็นที่น่าเสียดายว่าพญานาคทั้งเจ็ดปฏิญาณว่าจะประทับร่างของผู้มีศีล 8 ขึ้นไปเท่านั้น และคน ๆ นั้นต้องฝึกกัมมัฏฐานจนได้ขั้นอุปจารสมาธิด้วย เงื่อนไขสุดท้ายคือจะประทับได้ต้องมีท่านเจ้าคุณแก้วอยู่เป็นประธานทุกครั้งไป
ซึ่งทุกวันนี้ก็หมดสิทธิ์เพราะท่านเจ้าคุณแก้วมรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 โน้นแล้ว เรื่องการประทับทรงจึงเป็นอันเลิกรามาแต่นั้น
มรดกที่พญานาคทั้ง 7 องค์ให้ไว้คือบรรดาพระเครื่องที่สร้างขึ้นด้วยเนื้อว่านและผงพุทธคุณก่อนปี พ.ศ. 2518 และสร้างจากผงอิฐพระธาตุพนมหลังจากพระธาตุล้ม ท่านกราบเรียนเจ้าคุณแก้วไว้ว่า หากจะทำพระเครื่องหรือน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ขอเพียงนำสิ่งของนั้น ๆ ไปตั้งไว้ภายในกำแพงแก้วชั้นในสุดติดกับองค์พระธาตุแล้วทิ้งไว้ 1 คืน พอรุ่งอรุณเป็นอันว่าสิ่งของเหล่านั้นมีอานุภาพเต็มสมบูรณ์ อย่าได้สงสัยเลย
พระธาตุพนมได้ล้มลงในวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 เวลา 19.38 น. ก่อนพระธาตุล้ม 7 วัน ปรากฏเสียงร่ำไห้โหยหวนดังอยู่ทุกคืนไปทั่ว สร้างความหวาดสยองแก่คนในวัดพระธาตุพนมและชาวบ้านใกล้เคียงเป็นนักหนา สังหรณ์แต่ว่าจะเกิดเหตุอาเพศหากไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ต่อพระธาตุล้มแล้วจึงได้ทราบ
มีเรื่องมหัศจรรย์โดยแท้เมื่อพระธาตุพนมล้ม จักขอยกมาเป็นบางเรื่องที่สำคัญเท่านั้นคือ
1. เมื่อพระธาตุชั้นที่หนึ่งพังทลายลง พระธาตุชั้นที่สองก็เอียงลงมาลักษณะคว่ำลงสู่พื้นดิน ด้วยลักษณาการนี้ถาดสำริดที่รองรับเจดีย์ศิลาและบุษบกทองคำต้องตกลงมาสู่พื้นในลักษณะคว่ำและวัตถุสิ่งของในถาดอันเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยต้องกระจัดกระจายไปทั่ว แต่เมื่อตกถึงพื้นกลับอยู่ในลักษณะเก่าคือหงายรองรับเจดีย์ศิลาและบุษบกทองคำอยู่เช่นเดิมไม่มีวัตถุใดกระเด็นออกมา เหมือนกับมีคนจับยกลงมาวางไว้มากกว่าจะตกลงมาเองเป็นที่น่าอัศจรรย์
2. ขณะตรวจผอบได้พบว่ามีพระอุรังคธาตุอยู่จริงย่อมเป็นที่โล่งอก จะได้รู้เห็นกันชัด ๆ ไปเลยว่ามีพระบรมธาตุบรรจุอยู่ในพระเจดีย์จริงมิใช่เรื่องแต่ง และในแก้วผลึกที่ใสยิ่งกว่าใสนั้น มีกระดูกลักษณะที่ยังไม่ได้เผา 8 ชิ้นตรงกับที่ตำราระบุไว้จริงว่า พระมหากัสสปะเถรเจ้าตั้งจิตอธิษฐานแล้วพระอุรังคธาตุก็เสด็จออกจากพระบรมศพมาสู่ฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะก่อนที่ไฟทิพย์จะลุกโชนขึ้นเผาพระพุทธสรีระ และเมื่อทำการเปิดฝาทองคำที่ปิดแก้วผลึกนั้นออกดูปรากฏกลิ่นหอมเย็นคล้ายน้ำมันจันทน์โชยไปไกลเป็นระยะถึง 10 เมตรเศษทั่วบริเวณ บางคนถึงกับว่าเทพยดามาโปรยดอกไม้ทิพย์บูชาพระอุรังคธาตุ
3. ฉัตรทองคำยอดพระบรมธาตุได้ปาฏิหาริย์ไปพิงอยู่ที่ฝาผนังกำแพงหอพระแก้วโดยมีรอยขูดขีดเสียหายเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความสูงที่อยู่บนสุดด้วยระยะ 57 เมตร และทองคำเป็นโลหะที่นิ่มมากแรงกระแทกขนาดนั้นกลับไม่เสียหายอย่างที่วิตกแต่แรก ที่สำคัญมิได้ล้มแต่ไปพิง
4. รูปหล่อโลหะสี่องค์ขนาดเท่าคนจริงของพระมหาเถระองค์สำคัญผู้มีอุปการคุณต่อพระธาตุพนมและมหาชนทั่วไป ซึ่งรูปหล่อทั้งหมดนี้ประดิษฐานอยู่อย่างใกล้ชิดองค์พระธาตุพนมตลอดทิศทั้งสี่ เมื่อพระธาตุล้มรูปจำลองเหล่านี้กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ขอย้ำว่าแม้แต่น้อย ดูรูปการณ์ดุจดังพระธาตุล้มแล้วจึงนำรูปเหมือนทั้งสี่ไปตั้งภายหลังน่าอัศจรรย์นัก รูปหล่อทั้งสี่องค์ประกอบด้วย ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นันตโร) ท่านพระครูศีลาภิรัต (หมี อินทวังโส) และ ท่านพระเทพรัตนโมลี (แก้ว อุทุมมาลา)
พระธาตุพนมองค์ใหม่ถูกสร้างขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 แรม 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง วันนี้เป็นปีงูใหญ่ได้ลงเสาเข็มพระธาตุองค์ใหม่ โดยการสร้างครั้งนี้เป็นแบบสร้างครอบของเก่าลงไปเลยทีเดียว เพราะตอนพระธาตุล้มเป็นส่วนต่อชั้นที่สองซึ่งมาเติมสมัยพญาสุมิตตธรรมวงศาขึ้นไปที่ล้มลง ในส่วนของอุโมงค์และฐานเดิมยังคงอยู่
พระธาตุพนมองค์ใหม่สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2521 ประกอบพิธียกฉัตรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2522 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นองค์ประธานพิธี
ประกอบพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุเมื่อวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2522 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์